โครงสร้าง และการแก้สมการในระบบ Blockchain
โครงสร้าง และการแก้สมการในระบบ Blockchain
การขุดบล็อก (Block Mining) ในระบบ Blockchain เช่น Bitcoin เป็นกระบวนการที่สำคัญในการยืนยันและบันทึกการทำธุรกรรม ผู้ขุดต้องแก้สมการทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนเพื่อนำบล็อกใหม่เข้าสู่เครือข่าย สมการนี้เรียกว่าสมการ Proof of Work (PoW) บทความนี้จะอธิบายส่วนประกอบและรูปแบบสมการการแก้บล็อกในระบบ Blockchain อย่างละเอียด
		โครงสร้างของ Block ใน Blockchain
การทำงานของระบบ Blockchain จะประกอบไปด้วยหน่วยข้อมูลที่เรียกว่า "บล็อก" (Block) ซึ่งถูกเชื่อมต่อกันเป็นห่วงโซ่หรือ "เชน" (Chain) โดยบล็อกแต่ละบล็อกจะประกอบด้วยข้อมูลสำคัญหลายอย่างที่ช่วยให้การทำธุรกรรมมีความโปร่งใส ปลอดภัย และตรวจสอบได้ บทความนี้จะอธิบายโครงสร้างของบล็อกใน Blockchain อย่างละเอียด
		ส่วนประกอบหลักของ Block
บล็อกใน Blockchain จะประกอบไปด้วยส่วนประกอบหลัก ๆ ดังนี้:
		1. Block Header:
		ข้อมูลส่วนหัวของบล็อก ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลสำคัญหลายอย่างที่ใช้ในการระบุและยืนยันบล็อก
		Version:
		- เวอร์ชันของซอฟต์แวร์ Blockchain ที่ใช้ในการสร้างบล็อก
		Previous Block Hash:
		- แฮชของบล็อกก่อนหน้าในเชน ซึ่งใช้เพื่อเชื่อมโยงบล็อกแต่ละบล็อกเข้าด้วยกัน
		Merkle Root:
		- แฮชของโครงสร้างข้อมูลที่รวมธุรกรรมทั้งหมดในบล็อก ซึ่งช่วยให้การตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมทำได้ง่ายและรวดเร็ว
		Timestamp:
		- เวลาที่บล็อกถูกสร้างขึ้นในรูปแบบ UNIX time
		Difficulty Target:
		- ระดับความยากของการขุดบล็อกนี้ ซึ่งถูกกำหนดโดยระบบ- ค่าตัวเลขที่ผู้ขุดปรับเปลี่ยนเพื่อหาค่าแฮชที่ตรงตามเงื่อนไขของระบบ
		2. Transaction List:
		รายการธุรกรรมทั้งหมดที่ถูกรวมอยู่ในบล็อกนั้น ๆ แต่ละธุรกรรมจะมีรายละเอียดต่าง ๆ เช่น ผู้ส่ง ผู้รับ จำนวนเงิน และข้อมูลเพิ่มเติมอื่น ๆ
		ตัวอย่างโครงสร้างของ Block
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เรามาดูตัวอย่างของโครงสร้างบล็อกใน Blockchain:
		ความสำคัญของโครงสร้าง Block
1. ความปลอดภัย:
		การเชื่อมต่อบล็อกแต่ละบล็อกด้วยแฮชของบล็อกก่อนหน้าทำให้การปลอมแปลงข้อมูลทำได้ยากมาก หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในบล็อกใด ๆ แฮชของบล็อกนั้นจะ
		2. ความโปร่งใส:
		ข้อมูลการทำธุรกรรมทั้งหมดถูกบันทึกในบล็อกและสามารถตรวจสอบได้ ทำให้ทุกคนในเครือข่ายสามารถตรวจสอบความถูกต้องของการทำธุรกรรมได้
		3. ความสามารถในการตรวจสอบ:
		โครงสร้าง Merkle Tree ช่วยให้การตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
		ส่วนประกอบของสมการในการแก้ Block
สมการการแก้บล็อกในระบบ Blockchain ประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก ๆ ดังนี้:
		1. Block Header:
		ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบล็อกปัจจุบัน เช่น
		Previous Block Hash:
		- แฮชของบล็อกก่อนหน้า
		Merkle Root:
		- แฮชที่รวมการทำธุรกรรมทั้งหมดในบล็อก
		Timestamp:
		- เวลาที่สร้างบล็อก
		Difficulty Target:
		- ค่าเป้าหมายความยากในการขุดบล็อก
		Nonce:
		- ค่าตัวเลขที่ผู้ขุดสามารถปรับเปลี่ยนได้เพื่อหาค่าแฮชที่ตรงตามเงื่อนไข
		2.Hash Function (SHA-256):
		ฟังก์ชันแฮชที่ใช้ในการคำนวณค่าแฮชของ Block Header รวมกับค่า Nonce
		3.Target Value:
		ค่าที่กำหนดไว้ในระบบซึ่งค่าแฮชที่ได้จากการคำนวณจะต้องมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับค่านี้
		รูปแบบสมการการแก้ Block
รูปแบบสมการการแก้บล็อกในระบบ Blockchain คือ:
		การทำงานของสมการการแก้ Block
1.การคำนวณค่าแฮช:
		ผู้ขุดจะคำนวณค่าแฮชของ Block Header รวมกับค่า Nonce โดยใช้ฟังก์ชัน SHA-256
		2.การเปรียบเทียบกับ Target:
		ผลลัพธ์ที่ได้จากฟังก์ชัน SHA-256 จะถูกนำมาเปรียบเทียบกับค่า Target ที่กำหนดไว้ในระบบ
		3.การปรับเปลี่ยน Nonce:
		หากผลลัพธ์ที่ได้ไม่ตรงตามเงื่อนไข ผู้ขุดจะทำการปรับค่า Nonce และคำนวณใหม่ซ้ำ ๆ จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามเงื่อนไข
		กระบวนการแก้ Block
กระบวนการแก้บล็อกจะดำเนินไปตามขั้นตอนดังนี้:
		1.เริ่มต้นด้วยค่า Nonce ที่ 0: 
		ผู้ขุดจะเริ่มต้นคำนวณค่าแฮชด้วยค่า Nonce ที่ 0
		2.การคำนวณแฮช:
		ผู้ขุดจะคำนวณค่าแฮชของ Block Header รวมกับค่า Nonce โดยใช้ฟังก์ชัน SHA-256
		3.เปรียบเทียบผลลัพธ์กับ Target:
		ค่าแฮชที่ได้มีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับค่า Target ที่กำหนด ผู้ขุดจะได้รับรางวัลบล็อกและบล็อกใหม่จะถูกเพิ่มเข้าสู่เครือข่าย
		4.ปรับค่า Nonce:
		ถ้าค่าแฮชไม่ตรงตามเงื่อนไข ผู้ขุดจะปรับค่า Nonce เพิ่มขึ้นและทำการคำนวณใหม่ซ้ำ ๆ จนกว่าจะได้ค่าแฮชที่ตรงตามเงื่อนไข
		ตัวอย่างการแก้ Block
สมมติว่าเรามี Block Header และค่า Target ดังนี้:
		Block Header: 0000000000000000000769c3b3d5b2b5d5a5a5a5a5a5a5a5a5a5a5a5a5a5a5a5a5a5a5a5a5a5a5a5a5
		Target: 0000000000000000000fffffffffffffffffffffffffffffffffffffffffffffffffff
		การทำงานของสมการการแก้ Block
1. การคำนวณค่าแฮช:
		ผู้ขุดจะคำนวณค่าแฮชของ Block Header รวมกับค่า Nonce โดยใช้ฟังก์ชัน SHA-256
		2. การเปรียบเทียบกับ Target:
		ผลลัพธ์ที่ได้จากฟังก์ชัน SHA-256 จะถูกนำมาเปรียบเทียบกับค่า Target ที่กำหนดไว้ในระบบ
		3. การเปรียบเทียบกับ Target:
		ผลลัพธ์ที่ได้จากฟังก์ชัน SHA-256 จะถูกนำมาเปรียบเทียบกับค่า Target ที่กำหนดไว้ในระบบ
		สมการการแก้บล็อกในระบบ Blockchain เป็นกระบวนการที่ต้องใช้พลังงานการประมวลผลสูงและความอดทน ผู้ขุดต้องคำนวณค่าแฮชของ Block Header รวมกับค่า Nonce และเปรียบเทียบผลลัพธ์กับค่า Target ที่กำหนดไว้ กระบวนการนี้เป็นหัวใจของระบบ Proof of Work ที่ช่วยรักษาความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของเครือข่าย Blockchain
หากคุณสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Blockchain และ Cryptocurrency สามารถติดตามบทความอื่น ๆ บนเว็บไซต์ของเราเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้เลย
 
             
								 
								 
								 
								 
										