สถิติการแฮกคริปโตเคอเรนซีในปี 2024

ในปี 2024 จำนวนเงินที่ถูกแฮกคริปโตเคอเรนซีมีมูลค่ารวมกว่า $200 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่วนใหญ่เกิดจากการโจมตีทางการเงินและการหลอกลวงทางออนไลน์ แม้ว่ารายงานจาก Chainalysis จะระบุว่ามีการลดลงของการขโมยเงินดิจิทัลในปี 2023 ถึง 54.3% เนื่องจากมาตรการความปลอดภัยที่ดีขึ้นในโปรโตคอล DeFi (Decentralized Finance) อย่างไรก็ตาม การโจมตีในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การขโมยข้อมูลส่วนบุคคลและการโจมตีตลาดมืดยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะการใช้มัลแวร์ในการขุดเงินดิจิทัลซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2023
นอกจากนี้ ยังมีการโจมตีแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตเคอเรนซีหลายแห่ง เช่น Binance, Upbit, และ Bitrue ซึ่งมีการสูญเสียเงินดิจิทัลหลายล้านดอลลาร์ในการโจมตีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ตัวอย่างเช่น Binance ถูกแฮกในปี 2019 สูญเสียกว่า 7,000 Bitcoin หรือประมาณ $40 ล้านเหรียญสหรัฐ

ประเภทของการแฮกคริปโตเคอเรนซี

1. การโจมตีแบบฟิชชิง:
ผู้โจมตีจะสร้างเว็บไซต์หรืออีเมลที่เหมือนกับแพลตฟอร์มที่ใช้งานจริง ๆ แล้วหลอกให้ผู้ใช้งานกรอกข้อมูลการเข้าสู่ระบบ วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้กันมากที่สุด เนื่องจากผู้ใช้งานอาจไม่ทันระวังและกรอกข้อมูลโดยไม่คิดมาก
2. มัลแวร์:
การใช้ซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตรายเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว เช่น คีย์ส่วนตัว (private key) หรือข้อมูลการเข้าสู่ระบบ มัลแวร์สามารถแพร่กระจายผ่านการดาวน์โหลดไฟล์ที่ไม่ปลอดภัยหรือการคลิกลิงก์ที่เป็นอันตรายในอีเมล มัลแวร์สามารถซ่อนอยู่ในโปรแกรมที่ดูเหมือนไม่มีอันตราย และเมื่อถูกติดตั้งแล้ว มันจะทำงานเพื่อขโมยข้อมูลที่สำคัญจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งาน
3. การเจาะระบบแพลตฟอร์ม:
การเจาะระบบของแพลตฟอร์มซื้อขายหรือการแลกเปลี่ยนคริปโตเคอเรนซี ซึ่งทำให้ผู้โจมตีสามารถขโมยเหรียญคริปโตจากผู้ใช้งานจำนวนมากได้ การโจมตีลักษณะนี้มักจะเกิดขึ้นกับแพลตฟอร์มที่มีมาตรการความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอ ตัวอย่างเช่น การใช้ช่องโหว่ในระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อเข้าถึงฐานข้อมูลของแพลตฟอร์ม
4. การโจมตีด้วยวิธี Social Engineering:
การใช้เทคนิคทางจิตวิทยาเพื่อหลอกให้ผู้ใช้งานเปิดเผยข้อมูลสำคัญ เช่น การโทรศัพท์หรือการส่งข้อความที่ดูเหมือนจะมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ผู้โจมตีจะใช้ความสามารถในการโน้มน้าวใจและทำให้เหยื่อเชื่อถือและเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับ

ความเสี่ยงของการถูกแฮกคริปโตเคอเรนซี

การแฮกคริปโตเคอเรนซีมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากคริปโตเคอเรนซีมีมูลค่าสูงและเป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้โจมตีทางไซเบอร์ ผู้ใช้งานควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้บริการออนไลน์ที่มีมาตรการความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอ การใช้งานอุปกรณ์ที่ไม่ปลอดภัย หรือการเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวในสถานที่ที่ไม่ปลอดภัย การแฮกคริปโตเคอเรนซีมีผลกระทบรุนแรง เนื่องจากเมื่อเหรียญคริปโตถูกขโมยแล้ว มักจะไม่สามารถกู้คืนได้ และอาจส่งผลกระทบต่อการเงินและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน
1. ความเสี่ยงจากการใช้บริการออนไลน์ที่ไม่ปลอดภัย:
บริการออนไลน์ที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ดีเพียงพอเป็นเป้าหมายที่ง่ายต่อการถูกแฮก การใช้บริการที่ไม่มีการยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (2FA) หรือไม่มีการเข้ารหัสข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ข้อมูลสำคัญของผู้ใช้งานตกอยู่ในความเสี่ยง
2. ความเสี่ยงจากการใช้งานอุปกรณ์ที่ไม่ปลอดภัย:
การใช้อุปกรณ์ที่ไม่มีการป้องกันมัลแวร์ หรือการใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้รับการอัปเดตเป็นประจำ ทำให้อุปกรณ์เหล่านี้เป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับผู้โจมตี มัลแวร์สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวและคีย์ส่วนตัวที่เก็บอยู่ในอุปกรณ์ และขโมยเหรียญเคอเรนซีได้
3. ความเสี่ยงจากการเก็บข้อมูลในสถานที่ที่ไม่ปลอดภัย:
การเก็บคีย์ส่วนตัวหรือข้อมูลสำคัญในสถานที่ ที่ไม่มีการป้องกัน เช่น การเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต หรือในบริการคลาวด์ที่ไม่มีการเข้ารหัส ทำให้ข้อมูลตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกขโมย

วิธีป้องกันการแฮกคริปโตเคอเรนซี

1. ใช้การยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (2FA):
เพิ่มความปลอดภัยในการเข้าสู่ระบบโดยใช้การยืนยันตัวตนเพิ่มเติม เช่น รหัสผ่านที่ส่งไปยังโทรศัพท์มือถือ การใช้ 2FA จะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกแฮกได้มาก เนื่องจากผู้โจมตีต้องมีทั้งรหัสผ่านและรหัสยืนยันตัวตนที่สอง
2. ใช้กระเป๋าเงินแบบฮาร์ดแวร์ (hardware wallet):
เก็บคริปโตเคอเรนซีในอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเพื่อลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางออนไลน์ ฮาร์ดแวร์วอลเลทมีความปลอดภัยสูงเนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงได้ผ่านเครือข่ายออนไลน์ และมีการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อป้องกันการขโมย
3. ตรวจสอบเว็บไซต์และอีเมลให้แน่ใจ:
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์หรืออีเมลที่ได้รับมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และอย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวในเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ การตรวจสอบ URL ของเว็บไซต์และที่อยู่อีเมลเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการโจมตีแบบฟิชชิง ควรหลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ในอีเมลที่ไม่น่าเชื่อถือและตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลก่อนทุกครั้ง
4. อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการ:
ให้แน่ใจว่าใช้ซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการที่เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอเพื่อลดความเสี่ยงจากช่องโหว่ทางความปลอดภัย การอัปเดตซอฟต์แวร์จะช่วยป้องกันมัลแวร์และการโจมตีทางออนไลน์ได้ และช่วยให้ระบบรักษาความปลอดภัยมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การป้องกันการถูกแฮกคริปโตเคอเรนซีเป็นสิ่งสำคัญมาก ผู้ใช้งานควรใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยเช่นการยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอนและการเก็บเงินดิจิทัลในฮาร์ดแวร์วอลเลทเพื่อลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางออนไลน์ นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบเว็บไซต์และอีเมลให้แน่ใจว่ามาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวในเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ การป้องกันเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถใช้งานคริปโตเคอเรนซีได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจมากขึ้นในยุคดิจิทัลนี้